วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

การอ่านกราฟ ตามทฤษฎีดาว (Dow Theory) และ อีลเลียต (Elliott Wave)

แผนภูมิเส้น (Line chart) หรือ ที่บางคนเรียกว่ากราฟ เป็นเครื่องมือของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีรูปแบบง่ายที่สุด และจะแสดงให้เห็นแนวโน้มหรือ ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นที่เกิดขึ้นใน
 ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังคมการเทรด Forex

เจาะลึกทฤษฎี Dow Theory คืออะไร รวมทุกเรื่องน่ารู้สำหรับนักลงทุน
   



Charles H. Dow คือผู้คิดค้น “ทฤษฎี Dow Theory” ทฤษฎีที่มีพื้นฐานการวิเคราะห์ราคาเชิงเทคนิค เพื่อคาดการณ์แนวโน้มตลาด ทฤษฎีนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของการเริ่มต้นเรียนรู้และวิเคราะห์ราคาสินทรัพย์ โดยเป็นที่นิยมใช้ในการศึกษาค้นคว้าของนักลงทุนตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
บทความนี้จะพามาดูกันว่าทฤษฎี Dow Theory คืออะไร และมีหลักการในการวิเคราะห์อย่างไรบ้าง


Dow Theory คืออะไร
คำตอบ: Dow Theory คือ ทฤษฎีและกรอบทางการเงินที่ใช้คาดการณ์อนาคตตลาดว่ากำลังมีแนวโน้มเป็นตลาดกระทิงหรือไม่ โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของ Dow เช่น ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones (Dow Jones Industrial Average) และดัชนีการขนส่ง Dow Jones (Dow Jones Transportation Average)


ทฤษฎี Dow Theory จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรศึกษา เพราะช่วยให้มีความรู้เข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาและการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎี Dow Theory มีดังต่อไปนี้

*เมื่อพิจารณาราคาของสินทรัพย์ ตลาดลงทุนจะพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่เคยเกิดขึ้น ข่าวปัจจุบัน และความเป็นไปได้ที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งหมด

*ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยและตัวแปรค่อนข้างมาก เช่น ความต้องการในปัจจุบัน อดีตและอนาคต กฎระเบียบข้อบังคับหรือกำหนดต่าง ๆ

*การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม ๆ นักลงทุนจะติดตามแนวโน้มทั้งในระยะยาวและระยะสั้น

*นักวิเคราะห์ตลาดจะให้ความสำคัญกับราคาของเหรียญมากกว่าสิ่งที่จะเป็นตัวแปรที่ทำให้ราคาเกิดความเปลี่ยนแปลง

*เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์แล้วมีแนวโน้มจะเกิดซ้ำอีก ทำให้พฤติกรรมของตลาดคาดการณ์ได้มากขึ้น และนักลงทุนจะมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันเมื่อเห็นรูปแบบดังกล่าว


6 หลักการของ Dow Theory

1. แนวโน้มตลาดมี 3 ลักษณะ

การเคลื่อนไหวหรือแนวโน้มของตลาดมี 3 ลักษณะ ได้แก่ แนวโน้มหลัก (อยู่ได้ 1-3 ปี) แนวโน้มรอง (อยู่ได้ 3 สัปดาห์ – 3 เดือน) และแนวโน้มย่อย (อยู่ได้น้อยกว่า 3 สัปดาห์)

***แนวโน้มหลัก เป็นแนวโน้มสำคัญที่คงอยู่เป็นเวลา 1-3 ปี ใช้อ้างเป็นแนวโน้มขาขึ้น (การเคลื่อนไหวขึ้น) หรือแนวโน้มขาลง (การเคลื่อนไหวลง)
***แนวโน้มรอง (ระดับกลาง) อาจใช้เวลา 3 สัปดาห์ – 3 เดือน มักกล่าวกันว่าเป็นการปรับฐานหรือการกลับตัวไปแนวโน้มหลัก
***แนวโน้มย่อย จัดเป็นแนวโน้มที่คงอยู่ไม่เกิน 3 สัปดาห์

หมายเหตุ: แนวโน้มทั้งสามประเภทอาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้

2. 3 ระยะเวลาสำคัญของแนวโน้มในตลาด

***ช่วงสะสม (Accumulation Phase): ช่วงนี้คือระยะที่นักลงทุนที่มีความรู้มารวมตัว และเริ่มซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งราคาของเหรียญคริปโตฯ ยังไม่เคลื่อนไหวหรือได้รับผลกระทบจากข่าวใด ๆ มากนัก เพราะปริมาณของนักลงทุนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับจำนวนของนักลงทุนในตลาดทั้งหมด
***ช่วงขาขึ้น (Absorption Phase): ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดจับความเคลื่อนไหวของนักลงทุนและคนทั่วไปที่เริ่มหันมามีส่วนร่วมในตลาดมากขึ้น ทำให้มีผู้คนเริ่มติดตามแนวโน้มในระยะนี้มากขึ้น
***ช่วงปล่อยของ (Distribution Phase): หลังจากผ่านการซื้อสินทรัพย์และเก็งกำไรมาแล้ว ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่นักลงทุนที่มีความรู้เริ่มขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ออกสู่ตลาด

3. ข่าวสารทั้งหมดถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น

หากเกิดข่าวหรือเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นมา ตลาดหุ้นมักสะท้อนปรากฏการณ์ใหม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาวะความหวัง ความกลัว หรือความคาดหวังของนักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดนั้น กล่าวคือ ข่าวทุกเรื่องที่ออกมานั้นล้วนส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ เช่น การเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ย การคาดการณ์รายได้ การเลือกตั้งครั้งสำคัญ และอื่น ๆ อีกมากมาย

4. ค่าเฉลี่ยของตลาดจะสอดคล้องกัน

ประสิทธิภาพของตลาดหุ้นขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพรวมของนักลงทุนที่เข้าร่วมในตลาด หากผู้เข้าร่วมในตลาดส่วนหนึ่งสนใจลงทุน ส่วนที่เหลือก็ต้องสนใจด้วย เพื่อยืนยันแนวโน้มดังกล่าว เพราะมุมมองหรือประสิทธิภาพที่ต่างกันอาจนำไปสู่การพลิกกลับของแนวโน้มในตลาดได้

5. ปริมาณการเทรดต้องสัมพันธ์กับแนวโน้มในตลาด

แนวโน้มขาขึ้นควรมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณและราคาของสินทรัพย์ และหากเป็นแนวโน้มขาลงก็ควรนำไปสู่ปริมาณและราคาที่ลดลงเช่นกัน

6. แนวโน้มจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีการกลับตัวที่ชัดเจน

Dow Theory ชี้ว่าตลาดจะเกิดแนวโน้มอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีปัจจัยภายนอกเข้ามาส่งผลกระทบ เช่นเดียวกับกฎการเคลื่อนที่ข้อแรกของ Isaac Newton

สรุปเกี่ยวกับ Dow Theory

เรียกได้ว่าการเรียนรู้ทฤษฎีและเทคนิคต่าง ๆ ด้วยตนเองนั้นจะช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์แนวโน้มราคาสินทรัพย์ และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อขายได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อรู้วิธีใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคแล้ว นักลงทุนก็จะมองอารมณ์ตลาดออก และยังคาดการณ์ราคาเหรียญคริปโตฯ ได้อีกด้วย

คำเตือน

เนื้อหาที่ปรากฏในบทความนี้เกิดจากการเรียบเรียงและรวบรวมจากแหล่งข้อมูลทางการเงินที่น่าเชื่อถือหลายแห่ง เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นแก่ผู้สนใจทั่วไปเท่านั้น ทั้งนี้ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินทรัพย์ เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของสินทรัพย์นั้น รวมทั้งประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

บทความที่น่าสนใจ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น